Michael's Dispatches
เด็กหญิงในอ้อมกอด
- Details
- Published: Wednesday, 02 June 2010 00:56
พิมพ์ครั้งแรก 14 พฤษภาคม 2548
(สื่อโปรดติดต่อ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. )
โมซูล, อิรัก
พันตรีมาร์ค บี๊กเกอร์พบเด็กผู้หญิงคนนี้หลังจากเหตุระเบิดรถยนต์ (car bomb) ที่เข้าโจมตีพวกเราขณะที่เด็กๆ กรูเข้ามาห้อมล้อมอยู่รายรอบบริเวณ บรรดาทหารทั้งโกรธและโศกเศร้าไปตลอดสองวัน เหตุที่พวกเขาโกรธก็เพราะ หากผู้ก่อการร้ายชะลอการจู่โจมลง ปล่อยให้รถตรวจการณ์ผ่านไปอีกเพียงไม่กี่ช่วงถนนแล้วค่อยลงมือ เด็กๆ เหล่านี้ก็จะปลอดภัย แต่เปล่า มันรอไม่ได้ คนขับรถระเบิดพลีชีพห้อรถยนต์พุ่งเข้าชนรถหุ้มเกราะ (Stryker-สไตรค์เกอร์ คล้ายรถถัง 8 ล้อ-ไม่มีสายพาน) ในขณะที่เด็กตัวเล็กๆ เกือบยี่สิบคนกำลังวิ่งล้อมหน้าล้อมหลังโบกมือให้เหล่าทหาร สำหรับผู้พันบี๊กเกอร์คนนี้, เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง ผมก็เห็นเขาช่วยเหลือทหารระหว่างการถูกโจมตีครั้งใหญ่, เข้ามาดึงกำลังพลออกไปส่วนหนึ่ง (กำลังพลที่พวกเรากำลังต้องการ ณ ที่เกิดเหตุ) เพื่อไปช่วยเขานำเด็กผู้หญิงคนนี้ส่งโรงพยาบาลของอเมริกัน เขาต้องการให้เธอได้รับการรักษาดูแลจากแพทย์อเมริกัน ไม่ใช่โรงพยาบาลท้องถิ่น แต่ท้ายที่สุด เธอไม่รอด ผมถ่ายรูปนี้ได้ตอนที่ผู้พันบี๊กเกอร์วิ่งมาอุ้มเธอออกไป เขาหยุดวิ่งลงหลายครั้งเพื่อพูดกับเธอและกอดเธอ
ทหารชุดนี้กลับไปยังจุดเกิดเหตุในวันรุ่งขึ้นเพื่อดูแลว่าชาวบ้านต้องการความช่วยเหลือในสิ่งใดบ้าง พวกเขาเปิดบ้านต้อนรับอย่างอบอุ่น เด็กๆ หลายคนวิ่งเข้ามาทักทายและขอจับมือกับทหาร
ในที่สุด หน่วยสอดแนมคงได้ข่าวว่าเรากลับมาและเริ่มยิงใส่เรา ฝ่ายกำลังของทหารอเมริกันและตำรวจอิรักตอบโต้ เปิดฉากยิงกันราวสมรภูมิรบ ผมเห็นตำรวจอิรักถูกยิงบาดเจ็บกับตาคนหนึ่ง, แต่เขาดูไม่เป็นไรมากนัก หันมายิ้มให้ผมขณะที่ขาเป็นรูโบ๋ด้วยกระสุนปืนขนาดเขื่อง ผมยิ้มตอบ
สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นแน่นอนคือ ความรู้สึกต่อผู้ก่อการร้ายของชาวบ้านในละแวกนั้นไม่แตกต่างไปจากเรา เราจะกลับไปที่นั่นอีก และเหล่าทหารหวังแต่เพียงพวกมันจะโผล่หัวออกมาให้เห็น ทุกๆ คนยังโกรธไม่หายที่มันโจมตีเราในขณะเด็กวิ่งเล่นอยู่ใกล้ๆ ชะตาของพวกมันใกล้ขาดเต็มทีแล้ว
(ปัจฉิมลิขิต)
รูปของพันตรีบี๊กเกอร์ อุ้ม ฟาราห์, ชื่อของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เสียชีวิตลงในอ้อมกอดของเขา ปลุกเร้ากระแสตอบรับจากผู้คนทั่วโลก ผมใช้เวลาตลอดสอง-สามวันที่ผ่านมา อ่านจดหมายและข้อความเศร้าสลดและพยายามตอบกลับเท่าที่กำลังสามารถ แต่กระแสจดหมายก็ถาโถมผมจนต้องพ่ายลง ไม่ต่างอะไรกับสายน้ำหลากที่เอาชนะได้แม้แต่นักว่ายน้ำที่เก่งกาจที่สุด
เช้านี้ เสียงเคาะลั่นขึ้นที่หน้าประตู “คิว” แต่งตัวพร้อมรบ ในมือถืออาวุธ ติดวิทยุสื่อสารของทหารชนิดมีเฮดโฟนติดกับไมค์คาดลงมาข้างแก้ม โครม, โครม, โครม! คิว ทุบที่หน้าประตูห้อง
“ไมค์! อยู่หรือเปล่า?!”
“รอเดี๋ยว,” ผมตอบ เปิดประตู
“ทำไมยังไม่พร้อมอีก! หยิบของเร็ว...เราจะไปกันแล้ว!” รองเท้าบู๊ทของผมจอดสนิทนิ่งอยู่ที่มุมห้อง
“วันนี้ผมไปด้วยไม่ได้” ผมตอบ ปรายหางตากลับมาที่แล็พท็อป
“ไงนะ?”
“บอกพรรคพวกด้วยว่า วันนี้ผมไปไม่ได้”
“โอเค!” คิวรับคำสั้นๆ แล้วเดินกลับไปยังรถหุ้มเกราะ ทิ้งผมไว้ข้างหลัง เหล่าทหารออกปฏิบัติภารกิจโดยไม่มีผมเข้าร่วม
ผมนั่งอยู่ตรงนี้ ตอบอีเมล์ฉบับท้ายๆ ในขณะที่เพื่อนๆ ใน ดิ๊วซ์ โฟร์ ออกตรวจการณ์ในเมืองโมซูล มือของผมอาจอยู่ที่นี่ แต่หัวและหัวใจมันล่องลอยไปฝ่าฟันอยู่บนท้องถนน อีกครั้ง...หลายวันมานี้ผมโต้คลื่นอยู่กับกระแสตอบรับจากรูปภาพใบนั้น แต่แล้วผมก็ต้องกลับมาสู่สิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุด นั่นก็คือการโพสต์รายงานข่าวสถานการณ์ในอิรัก ผมจะพยายามอ่านจดหมายทุกฉบับ และทุกข้อความ ผมขอขอบคุณอย่างบริสุทธิ์ใจสำหรับทุกๆ คนที่อุตส่าห์สละเวลาเขียนเข้ามา แต่ดูเหมือนกับการรายงานครั้งนี้ ผมต้องยอมแพ้กระแสธารแห่งการตอบรับ และว่ายเข้าฝั่งในที่สุด
ไมเคิล